อาณาจักรสุโขทัย กลางพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 18 อาณาจักรเขมรเป็นศูนย์กลางอำนาจของภูมิภาคที่เป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน อาณาจักรเขมรตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างมีเมืองพระนคร (ปัจจุบันเรียกว่า เสียมราช) เป็นเมืองหลวง ได้ขยายอำนาจเข้ามาทั้งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในภาคกลางของดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เขมรได้เมืองละโว้ (ลพบุร) ไว้เป็นเมืองหน้าด่านด้านตะวันตกของเขมร แต่เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์ พ.ศ. 1725 – 1761) อาณาจักรเขมรก็เสื่อมอำนาจลง คนไทยกลุ่มต่างๆ รวมทั้งคนไทยที่สุโขทัยจึงพากันตั้งตนเป็นอิสระ
อาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานีอิสระ ได้มีการชิงเอาอำนาจจากผู้ครองเดิมคือ ขอม เมื่อปี พ.ศ. 1781 โดยพ่อขุนบางกลางหาว (เดิมคือ ขุนบางกลางท่าว นัยว่ามีชื่อว่า “ร่วง”) กับขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด เชื้อสายคนไทยที่แต่งงานกับพระนางสิขรมหาเทวี พระธิดาของกษัตริย์ขอม ครั้งนั้นพระยาขอมได้พระราชทานพระขรรค์ชัยศรีและพระราชทานนาม “ศรีอินทราทิตย์” ให้ขุนผาเมือง ราชบุตรเขยผู้นี้ เพื่อที่จะแต่งตั้งให้มีอำนาจในอาณาจักรขอมของชาวสยาม
สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีมเหสีพระนามว่า “นางเสือง” ทรงมีพระโอรสธิดารวมห้าองค์ เป็นราชโอรสสามพระองค์ ราชธิดาสองพระองค์ ราวปี พ.ศ. 1800 ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด (อำเภอแม่สอด จ.ตาก ปัจจุบัน) ได้ยกองทัพเข้าล้อมเมืองตากไว้ เจ้าเมืองฉอดจึงขอความช่วยเหลือจากกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ยกกองทัพไปช่วยและมีพระราชโอรสองค์เล็ก ชื่อ เจ้าราม ซี่งมีพระชนมายุได้ 19 ปี และได้เข้าร่วมรบจนชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า “พ่อกูไปรบ ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชน ขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้า....” ขุนสามชนขี่ช้างศึกชื่อ “ มาศเมือง ” จะเข้าชนช้างของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พระราชโอรสได้เห็นเช่นนั้น ก็ไสช้างบเข้ารัรบมือไว้ และได้ชนช้างกับขุนสามชน “กูบ่หนี กูขี่ช้าง เนกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน” และการทำยุทธหัตถีครั้งนี้ ทำให้ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดพ่ายแพ้ ยกทัพล่าถอยไป พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จึงพระราชทานนามแก่พระราชโอรสว่า “พระรามคำแหง”
สมัยขุนปาลราช หรือ พ่อขุนบางเมือง โอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ขึ้นครองในปีใดไม่ปรากฏ ประมาณว่า พ.ศ. 1800 สวรรคตปี พ.ศ. 1820
อาณาจักรสุโขทัยเมื่อแรกตั้งเป็นอาณาจักรเล็กๆ สมัยที่รุ่งเรืองที่สุดคือสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีอาณาเขตทิศเหนือจรดเมืองลำพูน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจรดเทือกเขาดงพญาเย็น และภูเขาพนมดงรัก ทิศตะวันตกจรดเมืองหงศาวดี ทิศใต้จรดแหลมมาลายู มีกษัตริย์ปกครองเป็นเอกราชติดต่อกัน 6 พระองค์ อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยาเมื่อสมัยพญาไสลือไท โดยทำสงครามปราชัยแก่พระบรมราชาที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.1921
สมัยพ่อขุนรามคำแหง ทรงเป็นแบบอย่างระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูก (บิตุลาธิปไตย) หลักฐานในหลักศิลาจารึกชี้ให้เห็นว่าในสมัยพ่อขุนรามคำแหงไม่มีคำว่า “ ทาส ” แต่จะเรียกเหล่าประชาชนทั้งหลายว่า “ ลูกบ้าน ลูกเมือง ” ฝูงท่วย (ทวยราษฎร์) “ ไพร่ฟ้าข้าไท ” “ ไพร่ฟ้าหน้าปก ” “ ไพร่ฟ้าหน้าใส ” ชาวสุโขทัยทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในการออกว่าราชการงานเมืองของพ่อขุนรามคำแหง กลางป่าตาลได้อย่างเสรี ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ดังปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า “ หัวพุ่ง หัวรบก็ดีบ่ฆ่า บ่ตี ในปากปูดมีกดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปกกลางบ้านกลางเมืองมีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่น กระดิ่ง อันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชม....”
เมื่อ พ.ศ. 1826 พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงคิดค้นประดิษฐ์ ลายสือไท หรืออักษรไทยขึ้น แล้วโปรดให้ทำการจารึกไว้ในแท่งศิลาหินชนวนสี่เหลี่ยมสูง 111 เซนติเมตร ดังกล่าวไว้ว่า “ เมื่อก่อนลายสือไทนี้บ่มี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจแลใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึงมีเมื่อพ่อขุนผู้นั้นใส่ไว้....”
พ่อขุนรามคำแหง ทรงโปรดให้สร้ง “ขดารหินมนังษีลาบาตร” ในป่าตาลขึ้นเป็นแท่นที่ประทับในการเสด็จออกขุนนาง เมื่อว่างจากการออกขุนนาง ก็ให้ใช้เป็น “อาสน์สงฆ์” สำหรับพระภิกษุที่มีภูมิธรรมและพรรษาสูงขึ้นนั่งแสดงธรรมแก่อุบาสกอาบาสิกา ในวันศีลวันพระ และในสมัยของพระยาเลอไท ราชโอรสของพ่อขุนรามคำแหง ได้นำพระพุทธศาสนา “ลัทธิลังกาวงศ์” มาเผยแพร่เพิ่มเติม เป็นการปลูกฝังพุทธศาสนาให้กับชาวสุโขทัย
ลักษณะสังคมการเกษตรของอาณาจักรสุโขทัย มีสภาพพื้นที่ราบที่ใช้ในการเพาะปลูกแบ่งอย่างกว้างๆ ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำและที่ราบเชิงเขา บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำที่สำคัญคือ แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำนี้มีพื้นที่ตั้งแต่อุตรดิ ศรีสัชนาลัย สุโขทัยเรื่อยลงมาจนถึงนครสวรรค์พื้นที่แถบนี้มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำกว้างใหญ่และเนื่องจากลำน้ำยมและน้ำน่านมีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลบ่ามาจากภูเขาทางภาคเหนือ ทำให้การระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างไม่ทัน ยังผลให้มีน้ำท่วมที่ราบลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านนี้ ซึ่งบริเวณนี้ควรจะทำการเพาะปลูกได้ดีกลับได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร และทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงเมืองกำแพงเพชร เป็นพื้นที่ดอน ดินไม่ใคร่อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้การเพาะปลูกไม่ได้ผลดีนัก จากสภาพภูมิศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้การเกษตรในอาณาจักรสุโขทัยต้องใช้ระบบชลประทานเข้ามาช่วยด้วย จึงมีการสร้างเขื่อนสรีดภงค์ หรือทำนบพระร่วง ซึ่งเป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่ สร้างอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมืองสุโขทัย นอกจากทำนบเก็บกักน้ำแล้วยังมีการสร้างเหมืองฝายและขุดคูคลองส่งน้ำเป็นแนวยาวตั้งแต่ศรีสัชนาลัย ผ่านสุโขทัยออกไปถึงกำแพงเพชรด้วย
แม้กรุงสุโขทัยจะมีอายุยืนนานถึง 20 0 ปี มีพระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงสืบต่อกันมา 9 รัชกาล แต่สุโขทัยก็มีอิสระเฉพาะ 120 ปีแรก ช่วงที่เจริญทึ่สุดคือ สมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ดังในศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวไว้ว่า “ กลางเมืองสุโขทัย มีตระพังโพย สีใสกินดีดังกินโขงเมื่อแล้ง มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารศ มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีเถร มหาเถร...” ส่วนภายนอกเมืองสุโขทัยก็มีความเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับภายในเมืองสุโขทัย เช่น “มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมาก ป่าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่น มีฐาน มีบ้านใหญ่ บ้านราม มีป่าม่วง ป่าขาม ดูงามดังแกล้ง...” สุโขทัยได้มีการก่อสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์หลายอย่าง เช่น ระบบชลประทาน คือ สรีดภงส์ พร้อมกับขุคคลองธรรมชาติ แล้วนำน้ำไปเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำนอกเมือง และในเมือง และตามวัดวาอาราม รวมทั้งสิ้น 7 สรีดภงส์
มีการค้นพบเตาทุเรียงเป็นจำนวนมาก ตั้งเรียงรายอยู่เป็นกลุ่ม กำแพงเมืองเก่าถึงบ 3 กลุ่ม รวม 49 เตา คือ ทางด้านทิศเหนือนอกตัวเมือง ข้างกำแพงเมืองด้านทิศใต้ และทางทิศตะวันออก จนอาจเรียกได้ว่า เป็นนิคมอุตสาหกรรม แสดงว่าสุโขทัยยุคพ่อขุนรามคำแหง เป็นศูนย์การค้าและการผลิตที่ใหญ่ ในการผลิต ถ้วยชามสังคโลก ซึ่งได้รับความนิยมแพร่หลาย มีชื่อเสียงมาก มีการส่งสินค้าออกไปขายยังต่างประเทศ เช่น หมู่เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย (ชวา) แม้ประเทศญี่ปุ่นก็มีเครื่องปั้นดินเผาสังคโลกตกทอดเป็นมรดกจนถึงปัจจุบัน
ด้วยกรุงสุโขทัยเป็นแคว้นใหญ่ มั่นคง และเข้มแข็ง เป็นที่รับรู้กันในแผ่นดินไทยและชาวต่างชาติ เช่น จีน และแคว้นอื่นๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดังมีหลักฐานตามเอกสารจีนบันทึกไว้ว่า ในระหว่างปี พ.ศ.1835 ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง และปี พ.ศ. 1866 สมัยพระเจ้าเลอไท สุโขทัยได้ส่งทูตติดต่อกับจีนหลายครั้งด้วยกัน โดยได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิ์จีน รวมทั้งได้ขอม้าขาว และของอื่นๆ จากจีนเป็นการตอบแทนด้วย
ในพ.ศ. 1829 สมัยพ่อขุนรามคำแหง พระเจ้าฟ้ารั่ว (มะกะโท) ได้เป็นกษัตริย์มอญนั้น และมีฐานะเป้นราชบุตรเขตของพ่อขุนรามคำแหง โดยได้อภิเษกสมรสกับพระธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ครั้งเมื่อเป็นมะกะโท เข้ามารัรบราชการเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง จึงทำให้อาณาจักรสุโขทัยได้อาศัยเมืองเมาะตะมะเป็นเมืองท่าสำหรับค้าขายกับพ่อค้าชาวอินเดีย เปอร์เซีย และอาหรับ โดยใช้เส้นทางเดินบกผ่านเมืองกำแพงเพชรและเมืองตาก ทางด้านแม่ละเมาที่เมืองฉอด (อำเภอแม่สอด)
สมัยพญาเลอไทย โอรสของพ่อขุนรามคำแหง ในจารึกขอมเรียกว่า “หฤทัยชัยเชษฐสุริวงศ์” และในชินกาลมาลินีเรียกว่า “ อุทกโชตถตราช ” (พระยาจมน้ำ) ครองราชประมาณ พ.ศ. 1860 ปรากฏว่าในสมัยนี้เมืองรามัญเป็นกบฎ หลังจากพระเจ้าแสนเมืองมิ่งสิ้นพระชนม์ พระเจ้าหฤทัยชัยเชษฐฯ ได้ยกกองทัพไปปราบปรามไม่สำเร็จ จนเป็นเหตุให้เมืองรามัญแข็งเมืองตั้งแต่นั้นมา และชาวสยามทางภาคกลาง พวกเมืองละโว้ และเมืองสุพรรณบุรี ภายใต้การนำของพระเจ้าอู่ทอง ได้อพยพมาตั้งอาณาจักรใหม่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเรียกว่า “ กรุงศรีอยุธยา ”
สมัยพญาลิไทย หรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 โอรสของพระยาเลอไทยในจารึกว่า “พระธรรมราชา” ทรงทำนุบำรุงบ้านเมือง โดยการทำการขุดคลอง ทำถนนจากกรุงสุโขทัยไปจนถึงเมืองศรีสัชนาลัย และเมืองน้อยใหญ่ เป็นการถวายเป็นพระราชกุศลต่อพระบิดา ถนนนี้เรียกว่า “ ถนนพระร่วง ” มีความยาวจากเมืองกำแพงเพชรไปเมืองสุโขทัยต่อไปจนถึงเมืองสวรรคโลก ในปี พ.ศ. 1902 พระองค์ทรงสร้างพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่หลายองค์ เช่น พระศรีศากยมุนี (เดิมเป็นพระประธานอยู่ในวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย ปัจจุบันได้อัญเชิญมาไว้ที่พระอุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ) และทรงโปรดให้แต่งหนังสือเรื่อง “ ไตรภูมิพระร่วง ” ซึ่งถือเป็นหนังสือสำคัญทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีไทยเล่มหนึ่ง
สมัยพญาลือไท หรือพระมหาธรรมราชาที่ 2 โอรสของพญาลิไทย ครองราชย์ พ.ศ. 1812 ได้ยกทัพปราบปรามเมืองเหนือที่แข็งเมืองจนยอมแพ้อ่อนน้อมต่อกรุงสุโขทัย จนถึง พ.ศ. 1914 กรุงศรีอยุธยาได้ยกทัพมาตีสุโขทัย รบกันอยู่ 6 ปี กรุงศรีอยุธยาสามารถยึดครองเมืองต่างๆ โดยรอบสุโขทัยไว้ได้
สมัยพญาไสเลอไทย หรือพระมหาธรรมราชาที่ 3 โอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 2 ในสมัยนี้พระองค์ทำสงครามกับสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพระงั่ว) กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้ตีหัวเมืองฝ่ายเหนือไว้ในอำนาจขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ราชธานีจึงย้ายมาอยู่ที่เมืองสองแคว (เมืองพิษณุโลก)
สมัยพญาปาลราช หรือพระมหาธรรมราชาที่ 4 โอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 3 ครองราชย์อยู่ที่เมืองสองแคว (เมืองพิษณุโลก) ใน พ.ศ. 1962 – 1981 เป็นสมัยที่กรุงสุโขทัยตกเป็นเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาแล้ว จึงไม่มีเหตุการณ์อะไรสำคัญ และเมื่อสิ้นสมัยพญาปาลราช กรุงสุโขทัยก็ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา
นับเป็นการสิ้นสุดของอาณาสุโขทัย อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อาณาจักรหนึ่งของชนชาติไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น